เทรนด์สีของปี 2020

มาดูกันครับว่า เทรนด์ในการใช้สี ของปีหน้า 2020 นั้น เป็นแนวไหนกัน

ดู ๆ จากตารางแล้ว แนวสีที่มาแรงในปีหน้า ก็น่าจะออกแนว พาสเทล เหมือน ๆ ปีนี้ คุณสามารถนำเอาไปเป็น guide line เพื่อที่จะใช้สำหรับงาน design ต่าง ๆ ของคุณได้ ถือว่าเป็นแนวทางแบบนึงที่ใช้สำหรับปีหน้าครับ

มารู้จักการ Compress ไฟล์รูปภาพ เพื่อใช้บนเว็บไซท์กัน

ในปัจจุบัน แม้ว่า เทคโนโลยีทางความเร็วของการใช้งานอินเตอร์เน็ตจะสูงขึ้นมาก การเข้าถึงเว็บไซท์แต่ละที่ทำได้อย่างรวดเร็ว และ ตอบสนองผู้ใช้ได้อย่างดี

สิ่งที่ผมจะมาแนะนำนั้น เป็นเทคนิคของการทำเว็บไซท์ให้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลาย ๆ เรื่องในการทำให้เว็บเราเร็วขึ้นได้ หนึ่งในนั้นคือ การ reduce ไฟล์รูปภาพ คือ ทำให้ขนาดของรูปภาพเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ อ่านให้ดีนะครับ ขนาดของไฟล์ ไม่ใช่ ขนาดของรูป นะครับ ซึ่งวิธีการที่จะนำมาใช้ก็มีหลากหลายวิธีอีกเช่นกัน เราเรียกรวมรวม ๆ ว่า การ Compress and optimize images for website

ก่อนอื่นมารู้จักศัพท์ของการทำ compress ก่อนว่าแตกต่างกันยังไง ในปัจจุบัน การทำ compress นั้นมีอยู่ 3 รูปแบบดังนี้
1. Lossy compression
2. Glossy Compression
3. Lossless Compression

แล้วแบบไหนล่ะที่ดีที่สุดสำหรับเราในการเลือกใช้ ก็ให้ข้อมูลตามนี้ครับ

Lossy compression
Lossy เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ รูปภาพที่ประมวลผลด้วยอัลกอริธึมการสูญเสียเป็นภาพที่เล็กที่สุดที่คุณจะได้รับ ดังนั้นหากความเร็วของเว็บไซต์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญและคุณต้องการความสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างการปรับให้เหมาะสมและคุณภาพของภาพเราขอแนะนำให้คุณใช้การเพิ่มประสิทธิภาพที่สูญเสียไปต่อไป

Glossy Compression
Glossy เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากคุณกังวลเรื่อง Google Insights แต่คุณเชื่อว่าการสูญเสียความเร็วของหน้าเว็บเล็กน้อยนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับคุณภาพของภาพที่ดีที่สุด

Lossless Compression
ภาพที่ปรับให้เหมาะสมแบบไม่สูญเสียนั้นมีขนาดพิกเซลต่อพิกเซลเหมือนกันกับต้นฉบับ แต่มีขนาดเล็กลงเมื่อเปรียบเทียบกับไฟล์ที่ประมวลผลแบบ Lossy หรือ Glossy หากคุณต้องการให้ภาพของคุณไม่ถูกแตะต้องให้เลือกตัวเลือกนี้

ทางเลือกในการ compress image นั้นมีหลากหลายวิธี ตัวผมเองผมใช้ tools ตัวนึง รันบน windows ชื่อว่า RIOT เป็น free tools ที่โหลดมาติดตั้งบนเครื่องใช้งานได้สะดวกดีครับ ค่อนข้างอัตโนมัติดี ส่วนอีกทางเลือกก็ต้อง online compress ซิครับ แนะนำที่นี่ ผมถือว่า ดีพอใช้ได้ https://shortpixel.com/online-image-compression ง่ายและสะดวก มีให้เลือกใช้ครับผม

ส่วนใครที่ใช้ wordpress เป็นเครื่องมือทำเว็บ ก็แนะนำ plugin ตัวนี้ครับ https://wordpress.org/plugins/shortpixel-image-optimiser/ ของเจ้าเดียวกัน

การเลือกซื้อ Harddisk ของ WD แบ่งตามสี

แม้ว่าในเวลานี้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนมากกำลังให้ความสนใจกับสื่อจัดเก็บข้อมูลบนมาตรฐานใหม่ที่เรียกกันว่า SSD หรือ Solid State Drive แต่ทว่าฮาร์ดดิสก์ก็จะยังคงไม่หายไปไหนเพียงแต่มันจะถูกลดบทบาทลงไปเล็กน้อย จากเดิมที่มันจะเป็นสื่อหลักสำหรับใช้ทั้งจัดเก็บข้อมูลรวมทั้งบู๊ต OS แต่ยุคนี้ SSD มีราคาที่เริ่มจับต้องได้มากขึ้น สื่อหลักสำหรับใช้ในการบู๊ต OS หรือ Windows โดยมากก็จะเลือกใช้งาน SSD แทน HDD โดยตัว HDD จะกลายเป็นแหล่งจัดเก็บ เพราะด้วยที่มันมีขนาดความจุต่อราคาที่คุ้มค่าหรือถูกกว่า SSD อยู่มากนั่นเอง

สิ่งที่เราจะนำมาฝากกันในวันนี้ก็เป็นเรื่องราวของการแบ่งประเภทหรือแบ่งรุ่นของ HDD จากทาง Western Digital ที่เราพอจะทราบกันอยู่แล้วว่าทาง WD นั้นจะเลือกใช้สีที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความแตกต่างของ HDD ในตระกูลนั้นๆว่ามันแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งผมก็ไปเห็นข้อมูลที่น่าสนใจจากทาง extremepc.in.th ที่ได้มีการบอกเล่าถึงข้อมูลในส่วนดังกล่าวนี้ ก็เลยขอนำมาขยายความบอกเล่ากันต่อ เพราะเชื่อว่าน่าจะยังมีหลายต่อหลายท่านที่อาจจะยังสับสนและยังไม่ทราบว่า จริงๆแล้ว WD HDD แต่ละสีนั้นมันมีความหมายว่าอย่างไร และแต่ละสีมีความเหมาะสมกับใครอย่างไร เหมาะงานอะไร จากทั้งหมดที่ทาง WD ได้มีการแบ่งโทนสีของ HDD ออกเป็น 5 สีคือ

  • WD Blue – สีน้ำเงิน
  • WD Black – สีดำ
  • WD Red – สีแดง
  • WD Purple – สีม่วง
  • WD Datacenter (Gold) – สีทอง

เมื่อได้ทราบกันไปแล้วว่า HDD จากทาง WD ในเวลานี้จะมีสีอะไรให้เราได้เลือกใช้งานกันบ้างในท้องตลาด ดังนั้นเราก็มาว่ากันต่อในรายละเอียดของความแตกต่างจากแต่ละสีว่ามันเหมาะสมกับการใช้งานอย่างไร ใช่สำหรับใครบ้าง

WD Blue – สีน้ำเงิน : ออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับ PC ทั่วไปตามบ้านเรือนหรือสำนักงาน เน้นไปในเรื่องของความคุ้มค่าทั้งในส่วนของประสิทธิภาพและความจุต่อราคา ที่ไม่ได้มุ่งเน้นความแรงในแบบที่ว่าต้อง “เป็นที่สุด” โดยมันจะมีให้เลือกใช้งานสองรหัสด้วยกันคือ WD Blue และ WD Blue SSHD โดยในความแตกต่างนั้น ในแบบที่ไม่มีรหัส SSHD ต่อท้ายก็จะเป็น HDD (Hard Disk Drive) ในแบบปรกติมีจานแม่เหล็กทำงานที่ความเร็ว 7200rpm มี buffer cache ในขนาด 64MB และมีความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 250GB จนถึง 6TB ส่วนในโมเดลที่เป็น SSHD มันก็จะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง HDD+SSD หรือที่เราเรียกกันว่าในแบบ Hybrid ซึ่งมันจะมี NAND Flash ในขนาด 8GB สำหรับทำตัวเป็น Cache เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆให้เรียกหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

WD Black – สีดำ : ที่สุดของคำว่าประสิทธิภาพ ! ซึ่งหากใครที่กำลังมองหา HDD ที่ต้องการคำว่าแรงไว้ก่อน ประสิทธิภาพสูงสุดเข้าว่า WD Black คือคำตอบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานในช่วงที่กว้างกว่า WD Blue คือมันสามารถใช้ได้กับ PC ทั่วๆไปเหมือนกับ WD Blue หรือสำหรับกลุ่มผู้ทำงานในด้านมัลติมีเดียต่างๆ จะตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพ ทำงานกราฟิกหรือแม้กระทั่งบรรดาคอเกมทั้งหลายที่ต้องการความรวดเร็วในการตอบสนอง เพราะมันจะมีแคชในขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษตั้งแต่ 64MB ไปจนถึง 128MB (แตกต่างกันไปตามความจุ)และไม่เพียงแค่เรื่องของความแรงเท่านั้น มันยังจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี StableTrac ที่จะช่วยเพิ่มความมีเสถียรภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งทาง Western Digital ก็กล้าที่จะรับประกัน WD Black ยาวนานถึง 5 ปีเต็ม

WD Red – สีแดง : หากกำลังมองหาทางเลือกสำหรับใช้งานร่วมกับ Nas สีแดงคือคำตอบจากทาง Western Digital โดย WD Red ได้รับการออกแบบสำหรับใช้งานร่วมกับ Nas หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายโดยเฉพาะ แต่ไม่ถึงกับศุนย์จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Data centers มันเหมาะเพียงแค่ในระดับ SOHO (Small Office/Home Office) ที่จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายเข้าสู่ Nas จะทั้งในบ้านเรือนทั่วไปหรือตามสำนักงานขนาดเล็ก ทั้งนี้มันก็ยังจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีรย์ด้วยกันคือ WD Red และ WD Red Pro โดยความแตกต่างระหว่าง Pro และไม่ Pro ก็คือ ในซีรีย์ปรกติจะเหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก เหมาะกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในเครือข่าย(Nas)ในช่วง 1-8 Bay ส่วนในซีรีย์ Pro ก็เน้นสำหรับผู้ที่มีการใช้งานหนัก มีการเข้าถึงข้อมูลตลอดเวลา เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่หรือสำหรับสื่อจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายในระดับ 16 bay ขึ้นไป

WD Purple – สีม่วง : ออกแบบมาสำหรับงานในด้านรักษาความปลอดภัยสำหรับใช้งานร่วมกับระบบกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี AllFrame ที่มันจะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวข้อมูลวิดีโอ ทั้งนี้มันยังได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปรกติอีกด้วย และสำหรับ WD Purple ก็จะมีให้เลือกใช้งานสองซีรีย์เช่นกันคือ WD Purple ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 1TB ถึง 6TB เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับกล้องวงจรปิดในจำนวนไม่เกิน 32 ตัว และในอีกซีรีย์ก็คือ WD Purple NV ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ประเภท Network video recorder (NVR) สามารถรองรับการใช้งานร่วมกับกล้องได้ในจำนวนที่มากกว่าซีรีย์ปรกติถึงเท่าตัวหรือ 64 ตัวนั่นเอง และมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 4TB ถึง 6TB โดยมีระยะเวลาการรับประกัน 3 ปีเต็ม

WD Datacenter (Gold) – สีทอง : สำหรับในโมเดลฉลากสีทองนั้น ชื่อจริงๆของมันจะเป็น WD Datacenter ซึ่งมันจะได้รับการออกแบบมาพิเศษเพื่องานจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Datacenters โดยเฉพาะตามชื่อเรียกของมัน หรือใช้งานร่วมกับระบบกล้องวงจรปิดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนกล้องมากๆ เหมาะสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีการใช้งานหรือมีการเข้าถึงข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในแบบ 24/7 และต้องการความมีเสถียรภาพสูงสุดในการทำงาน และในโมเดลฉลากสีทองนี้ก็จะรับประกันยาวนาน 5 ปีเต็มอีกด้วย

ได้ทราบกันไปแล้วนะครับว่า HDD (Hard Disk Drive) จากทาง Western Digital ที่ได้มีการแบ่งแยกสีสันแตกต่างกันออกไปมากถึง 5 สีนั้นมันมีความแตกต่างอย่างไรกันบ้าง เหมาะกับการใช้งานในด้านใดบ้าง คราวนี้ใครที่อาจจะเคยสับสนนั้นคงจะทราบแล้วว่า สีไหน รุ่นไหนเหมาะสำหรับการใช้งานของเรา และหากใครที่มีข้อสงสัยว่า WD Green นั้นหายไปไหน ? ก็แจ้งให้ทราบกันตรงนี้อีกครั้งว่าทาง Western Digital ได้ทำการยกเลิกสายพานการผลิต WD Green ไปแล้วในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่ามันทับซ้อนอยู่กับตลาดของ WD Blue นั่นเอง และจากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้รับทราบกันไปนั้น หากจะให้สรุปกันแบบสั้นๆในคำถามที่มักจะพบเจออยู่บ่อยครั้งคือ Blue กับ Black เลือกตัวไหนดี ? คำตอบที่จะให้ไปก็คงตอบแบบง่ายๆเช่นกันว่า ถ้าต้องการเน้นเร็ว แรง ในแบบฉบับของ HDD เน้นเล่นเกมหรือโหลดข้อมูลขนาดใหญ่บ่อยครั้ง คำตอบที่ได้ก็คือจัด Black ไปเลยครับ แต่หากว่าไม่ได้ใช้งานหนักหน่วงอะไรเพียงแค่ดูหนังฟังเพลงเล่นเนตหรือใช้ทำงานเบาๆด้านออฟฟิตต่างๆก็เลือก Blue ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการใช้งาน ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายแพงกว่าโดยเปล่าประโยชน์

How To Make The Presentation They’ll Remember

How To Make The Presentation They’ll Remember

by: Blur Lorena

Getting board with presentations? Does your audience yawn or snore or check their watches every time you present? If you’re planning to conduct a presentation, here are some useful tips.

Presentation needs an exhausting preparation. Decide first on the topic that you want to present. Choose a topic that concerns your audience. Make a detailed outline or script. Then research on the topic, note all important points. If possible use simple, familiar terms.

Prepare the devices you are going to use. If you are going to use a slide show, choose the software you are most comfortable with. Examples of softwares are Microsoft PowerPoint, Adobe Persuasion and Lotus Freelance. You can also use Adobe PageMaker and Illustrator and other Illustration software. These presentation softwares will help you create high resolution slides and printouts.

If you want an effective presentation make your slides more attractive. In creating a slide make sure that each slide has a basic idea. Use standard slide size, two by three or the standard 11 inch slide. Minimize the words from 15 to 20 per slide. You can use different fonts. The size of the font should be readable and consistent. Do not overuse attributes such as bold, underline and italic. Use identical design that is relevant to the subject. Use colors to add emphasis. You may add charts or graphs, photos and images.

If you want to use the projector, print the slides using inkjet or laser printer or have it printed through a service bureau. Slide services load the file on film recorder and capture the images on film. Prices depend on the quality of the output.

Rehearse your presentation with the devices you are going to use. If possible, rehearse in the room or place where you will conduct the presentation.

Check everything before you start the presentation, the equipment, the script and the printed materials. During the presentation, tell them exactly what you want to tell them. Introduce your topic. Your introduction should include set of goals for the presentation or agenda, information and summary. Start from the last, the summary. Summary should emphasize important points. Keep your presentation simple. Focus on the topic. Do not read or memorize; you are not reciting, you are presenting.

Make your presentation educational and entertaining at the same time. An attractive slide show helps. Read the slide in such a way that your audience can follow. Always acknowledge them.

About The Author

Blur Lorena

For questions and comments about the Artcile you may contact The Postcard Printing Moderator at 888 888 4211 or visit http://www.mypostcardprinting.com

[email protected]

This article was posted on January 24

by Blur Lorena

Getting Noticed!

Getting Noticed!

by: Sue and Chuck DeFiore

One of the best ways to get your name out in your local community is to become a sponsor. A few hundred dollars gets your company name on little League caps; a little more, perhaps an ad at a roller rink. Donate money or materials to the local parade or a float. This buys goodwill and is great selfpromotion. If you provide a service donate that. For example, when we operated a word processing business we offered to do resumes for free for those out of work. If you are a hair stylist, offer to cut hair free to senior homes, or for children. If you run a pet related business offer some free products or service. Every business has something they can provide for free,even if it is only your time.

Be sure when you do something of this type to alert the local media. They love talking about what local businesses are doing for the community. However, do this sparingly. Don’t over use it or it loses its effectiveness.

In todayกs business arena setting up a web site is a must. For most businesses you don’t need anything fancy just a couple of pages which includes contact information, location and what your company policies are. For example, some background information on you (associations you belong to, educational background, qualifications). If you have some testimonials, this helps also. If you provide a newsletter, let folks know how they can receive it. You can also provide directions to your business, put specials on your website that you are running for the month, week or any time period you choose.

Brochures are another excellent way to get your name out there. Highlight your businessกs benefits to create copy that sells. Be sure however to make the content interesting and draw the reader in and motivate them to do business with you.

When you combine effective content with an easytoread, eyecatching design, your brochure will become a hardworking partner that will help you win the customers you need to start your company out right.

Another great way to get your name out and to tell your customers what you do is to use a Newsletter. Newsletters can be wonderful tools for communicating with your customers or prospects. Because of their format, they’re often infused with more credibility than traditional brochures. If your newsletter is little more than blatant selfpromotion, however, itกs likely to hit the wastebasket before it hits your targetกs desk.

We have given you a number of ways to get your name out there so start promoting yourself!

Copyright DeFiore Enterprises 2002

About The Author

Interested in having your own successful, home based creative real estate investing business? Chuck and Sue have been helping folks start successful home based businesses for over 17 years, and we can help you too! To see how, visit http://www.homebusinesssolutions.com for the latest FREE tips and tricks, educational products and coaching in creative real estate investing and home based businesses. No time to visit the site? Subscribe to our FREE กhow toก Home Business Solutions Digest, itกs like having your own personal coach: mailto:[email protected]

[email protected]

This article was posted on September 09, 2003

by Sue and Chuck DeFiore

Intranet Project Names Some Ideas

Intranet Project Names Some Ideas

by: David Viney

กWhatกs in a name? That which we call a rose

By any other word would smell as sweet.ก

In this famous quote from Act II of Romeo and Juliet, Juliet tells Romeo that a name is an artificial and meaningless convention, and the fact he is a Montague and she a Capulet (warring families) means nothing to their love.

However, there is some strong evidence from the UKกs Cranfield University and elsewhere that the name one gives a project does have a marked impact on the behaviour and motivation of the people involved. It may surprise you, but the name you give to your Intranet Project could well be the most important decision you make in the early stages of mobilisation!

The Direct Approach

There is an argument in faour of naming your Intranet Project the wait for it กIntranet Projectก! Often, socalled กsecret squirrelก names (where one has to ferret out from colleagues what Project Banana is all about) serve only to create an unnecessary air of mystique (fit only for secret M&A projects). They can also serve to be divisive, by separating กpeople in the knowก from people outside the immediate project audience.

The functional approach

A functional name focuses on what the intranet does (e.g. search, find, access). This enjoys the same benefits as the direct approach, but affords one a little more poetic license. What about names like กProject Connectก or กProject Gatewayก, which serve to signal the core กmust haveก requirements for the project?

The conceptual approach

There is a problem with the direct or functional approaches; Research from Cranfield has demonstrated that people on projects tend to be very heavily influenced in their actions by the name of the project itself. If you call your project the Intranet project, it is a working intranet (i.e. the technology) that you will get. If your ambition was something much more visionary, such as a wholly new way of working for your people, you are likely to be disappointed!

The conceptual name targets what is achieved by the functionality, rather than the functionality itself. For example, if your company name was BigCo and your purpose was seeking to get everyone in the company working together, you could call the project กProject OneBigCoก or กProject Unityก. For the aforementioned new ways of working objective, you could use กProject Future Workplaceก.

The abstract approach

The abstract approach deals with how the project makes people feel. For example, กProject Blissก (for happiness), กProject Wizardก (for magic) or กProject Pulseก (for fastpacedness). Although one world usually fails to capture all you are trying to achieve with an Intranet Portal, this approach can prove highly effective (particularly where countercultural).

If all else fails

Nothing grabbed you so far? Well there is no saving you, then! I suppose there are always the standard fallback options: names of greek or roman gods, names of planets, names of birds and names of dances. These have the added value that if you spawn followon projects in a sequence you have readymade logical followon project titles. Incidentally, กProject Mercuryก would be my recommendation for planets or gods (as Mercury was the roman god of communications).

For more ideas on project names, why not check out my presentation in the Intranet Portal Guide.

About The Author

David Viney ([email protected]) is the author of the Intranet Portal Guide; 31 pages of advice, tools and downloads covering the period before, during and after an Intranet Portal implementation.

Read the guide at http://www.viney.com/DFV/intranet_portal_guide or the Intranet Watch Blog at http://www.viney.com/intranet_watch.

This article was posted on November 08, 2004

by David Viney

Spread Your Ideas and Your Reputation Will Follow

Spread Your Ideas and Your Reputation Will Follow

by: Scott Foreman

As we all know, Internet Marketing growth is all about increasing traffic to your website. Time and again, what’s proven to be the best way to dramatically increase traffic to your website?

You already know that answer. In fact, we’ve talked about it in the last few weeks…

Write original articles!

We won’t rehash the importance of creating unique, helpful content for your visitors. I’ll just assume that you are on the wave of massive traffic that is writing articles.

Now that you’ve written the articles what do you do?

Publish them!

Get your articles out on the web at targeted sites where potential customers will read them and publishers of high traffic web sites will reprint them. Not sure where to begin? Check out our starter list of great sites to publish your articles.

http://www.buildpassiveincome.com/cmd.php?ad=116604

When it comes to most consumer products or services there are three aspects: fast, good, and cheap. Usually, you’ll get two out of three. True to form, our resources listed about are good and they’re free, but they are certainly not fast.

In fact, the article publishing process can be very time consuming if you publish an article one website at a time. If you could save time in this valuable process, certainly you would, right?

If you’re willing to pay a little bit, you can find some great services that will take your article and automatically publish it on multiple websites at once.

You can see our favorite ขmass publishข program here:

http://www.buildpassiveincome.com/cmd.php?ad=116606

Whichever program you choose, make sure that you are using your time wisely. You already know the importance of writing and publishing original articles. Now take the next step of automating that process so that you can spend more time discovering even more lucrative business ideas.

Remember, be good to yourself and never underestimate the power associated with the intensity of your passion.

Copyright 2005 Foreman Enterprises

by Scott Foreman BuildPassiveIncome.com

mailto:[email protected]

We will pay you TWO WAYS to run this article!

First, we will pay you up to $25 for every person who visits our site and purchases a product as a result of you running or posting this article.

PLUS, once you confirm we will give you a FREE DISPLAY AD in our Internet Success Newsletter (thatกs how much we appreciate it)!

Make sure that you get your affiliate ID at: http://www.buildpassiveincome.com/affiliate

This article may be reprinted for use in newsletters and websites provided that the information box is kept intact. Email notice of intent to publish is appreciated but not required: [email protected]

About The Author

Wayne and Scott Foreman are coowners of http://www.buildpassiveincome.com

This Secret Book Made Terry Dean Rich! You Can Get it Free IF you click below now (you won’t believe the simple techniques it reveals that ANYONE can use) http://www.BuildPassiveIncome.com/secret

[email protected]

This article was posted on January 13

by Scott Foreman

What is Contract Programming? An Alternative to th

What is Contract Programming? An Alternative to the Conformity of Everyday Employment

by: Michael Nigohosian

What is contract programming, you ask? Well, when companies need specific computer programming expertise, for temporary periods of time, they generally hire a contract programmer or an employee of a consulting firm. Contractors almost always have a higher hourly wage than a salaried employee and are often paid for overtime. Contracts can last from one to three months to many years, depending on the situation. A contract programmer generally does one thing: program (code) for the duration of the contract. So, contract programming is just an area of computer consulting. Other areas of computer consulting include custom developers, network consultants and information technology (IT) consultants. The contract programmer can work via two forms of contracts: 1) ขW2 ข contracts and 2) ข1099ข contracts.
Thereกs the กW2ก contractor
The ขW2 contractorข receives the typical IRS W2 form at tax time and works as a temporary employee of a contract broker or some form of employment agency. The contract broker basically acquires a contract with a client company and hires the contractor to work on that contract for them. Brokers make their money by charging the client an amount over your agreed upon hourly rate. In this form, the contract programmer is a temporary, hourly employee of the broker’s company and this is the form that is easiest for the newcomer to obtain.
And the ก1099ก contractor
As a ขW2 contractorข, your broker a.k.a.: temporary employer or agency will collect taxes from your paycheck, just as if you were a regular employee. The ข1099 contractorข, can still work through a broker, but gets paid on an IRS form 1099 and must take responsibility for paying all applicable taxes herself. This ข1099ข form is for, in IRS lingo, ขIndependent Contractors.ข Independent contractors have more work to do before they get a contract: they have to market themselves like any other business. This includes brochures, business cards, web sites, networking, etc. They have to consider obtaining more forms of insurance that may include general business liability and errors & omissions insurance. They also generally have to form a corporation in order to work for certain companies. The pay back for this extra work is a higher hourly rate. To the beginning contractor, I always suggest starting out as a ขW2ข contract programmer because it is generally the quickest and easiest path to becoming a contract programmer and the best way to determine if contracting is the right career choice.
The กW2ก contractor is like a typical employee…almost
The main differences between a fulltime employee and an hourly, contract employee working for a broker are, the contractor:
1) Will probably have to pay for his or her own health and disability insurance, which amounts to very little compared to the increased income one usually sees.
2) Generally gets paid topdollar for his or her work. Many earn $100 or more per hour for 40+ hours a week.
3) Can take as much time off from work as he or she pleases, while inbetween contracts.
4) Has independence from corporate politics.
5) Has the chance to live wherever she wants or live in different places as determined by the particular contract.
6) Is often seen as an expert in his or her field.
More work for ข1099ก contractor
These points apply to the ข1099 contractorข as well, but the ข1099ก contractor has more work to do in filing taxes, corporate paperwork, advertising and searching for her next contract as opposed the ขW2 contractor,ข who basically makes a few calls to her favorite brokers and tells them she is ready for another contract and the brokers do the jobsearching for her. Now, everything I’ve said thus far is pretty cutanddry, so let’s take a look at a more elusive topic: what qualities make a good contract programmer.
Signs of a good contract programmer
Over the last decade, I have met and worked with many varied computer programmers. From this experience, I have devised the following list containing what I believe makes a good potential contractor programmer. A good contract programmer:
1) Makes computers an avid hobby of his. When he comes home from work he plays with or hacks the computer trying to improve its performance.
2) Tries to learn more about computers than his peers do and he also likes to program the computer to have it do ขcoolข things.
3) Has often dreamed of being an expert, highpaid computer professional.
4) Has learned how to master the art of studying computer science.
5) Spends his free time reading computer books and magazines — yes kind of geeky!
6) May like to build his own computer systems and enjoys tweaking and upgrading them to extract the most performance from them.
7) Is very professional and humble.
Youกve got to love to do it!
These really are just some of the basic qualities of someone who loves computers and loving computers is really the main ingredient for a successful career in contract programming. If you don’t love doing it, you will not survive. If you do love it, it will be a joy to go to work every day and to continually update your skills. The computer field changes rapidly and only someone who really loves computers and makes it his hobby will have the desire to continually upgrade his skills and be the best he can be at all times. If you possess most of the seven qualities listed above and like the idea of using your hobby to catapult yourself into a highpaid, fulfilling career, even if the economy is down, you should consider a career in contract programming.

About The Author

Michael Nigohosian is the author of the awardwinning and bestselling series, ‘the Secret Path to Contract Programming Richesก and instructor for the course กIntroduction to Contract Programmingก. He is also director of Rapid Mastery Technology™ at McGillis, Wilcox, Webster & Co., Inc.™ http://www.mwwcorp.com

This article was posted on June 15, 2004

by Michael Nigohosian

Microsoft CRM Customization – programming Closed E

Microsoft CRM Customization – programming Closed Email Activity

by: Boris Makushkin

Microsoft CRM is CRM answer from Microsoft and attempt to get market share from Siebel, Oracle and others traditional Client Relationship Management System vendors. Microsoft CRM uses all the spectrum of Microsoft recent technologies: .Net, MS Exchange, MS Outlook, MS SQL Server, Replication, Indexing, Active Directory, Windows 2000/2003 security model, C#, VB.Net, HTML, XML Web Service, XLTP, Javascript to name a few.

Todayกs topic is Activity of email type programming you usually deal with these customizations when you improve Microsoft Exchange CRM connector. How do you create closed activity this is the main discussion topic. We’ll use C#.Net coding

One of the roles of our Exchange Event Handler/Sink is creation MS CRM Closed Activity in handling incoming and outgoing email messages. The interaction with Microsoft CRM uses two approached – using MS CRM SDK (handling inbound and outbound XML messages) and via direct access to MS CRM Database. Let’s first look at the Closed Activity creation algorithm:

1. First we need to understand the entity we need to create activity for: Account, Lead or Contact. The selection should use specific criteria – in our case this is email address:

if ((crmAccount = crmConnector.GetAccount(mailboxFrom)) != null) {

}

else if ((crmContact = crmConnector.GetContact(mailboxFrom)) != null) {

}

else if ((crmLead = crmConnector.GetLead(mailboxFrom)) != null) {

}

2. Then we have to get GUID of MS CRM user, who owns this entity, C# code like this:

crmUser = crmConnector.GetUser(crmAccount.GetOwnerId());

3. Next step is closed Activity creation:

emailId = crmConnector.CreateEmailActivity(

crmUser.GetId(),

Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otAccount, crmAccount.GetId(),

Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otSystemUser, crmUser.GetId(),

crmAccount.GetEmailAddress(), crmUser.GetEmailAddress(), sSubject, sBody);

4. The method to create closed activity:

public Guid CreateEmailActivity(Guid userId, int fromObjectType, Guid fromObjectId, int toObjectType, Guid toObjectId, string mailFrom, string mailTo, string subject, string body) {

try {

log.Debug(กPrepare for Mail Activity Creatingก);

// BizUser proxy object

Microsoft.Crm.Platform.Proxy.BizUser bizUser = new Microsoft.Crm.Platform.Proxy.BizUser();

ICredentials credentials = new NetworkCredential(sysUserId, sysPassword, sysDomain);

bizUser.Url = crmDir + กBizUser.srfก;

bizUser.Credentials = credentials;

Microsoft.Crm.Platform.Proxy.CUserAuth userAuth = bizUser.WhoAmI();

// CRMEmail proxy object

Microsoft.Crm.Platform.Proxy.CRMEmail email = new Microsoft.Crm.Platform.Proxy.CRMEmail();

email.Credentials = credentials;

email.Url = crmDir + กCRMEmail.srfก;

// Set up the XML string for the activity

string strActivityXml = กก;

strActivityXml += กก;

strActivityXml += กก) + กก;

strActivityXml += กก;

strActivityXml += userId.ToString(กBก) + กก;

strActivityXml += กก;

// Set up the XML string for the activity parties

string strPartiesXml = กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก + mailTo + กก;

if (toObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otSystemUser) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otSystemUser.ToString() + กก;

}

else if (toObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otAccount) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otAccount.ToString() + กก;

}

else if (toObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otContact) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otContact.ToString() + กก;

}

else if (toObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otLead) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otLead.ToString() + กก;

}

strPartiesXml += กก+ toObjectId.ToString(กBก) + กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += Microsoft.Crm.Platform.Types.ACTIVITY_PARTY_TYPE.ACTIVITY_PARTY_TO_RECIPIENT.ToString();

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก + mailFrom + กก;

if (fromObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otSystemUser) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otSystemUser.ToString() + กก;

}

else if (fromObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otAccount) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otAccount.ToString() + กก;

}

else if (fromObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otContact) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otContact.ToString() + กก;

}

else if (fromObjectType == Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otLead) {

strPartiesXml += กก + Microsoft.Crm.Platform.Types.ObjectType.otLead.ToString() + กก;

}

strPartiesXml += กก+ fromObjectId.ToString(กBก) + กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += Microsoft.Crm.Platform.Types.ACTIVITY_PARTY_TYPE.ACTIVITY_PARTY_SENDER.ToString();

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก;

strPartiesXml += กก;

log.Debug(strPartiesXml);

// Create the email object

Guid emailId = new Guid(email.Create(userAuth, strActivityXml, strPartiesXml));

return emailId;

}

catch (System.Web.Services.Protocols.SoapException e) {

log.Debug(กErrorMessage: ก + e.Message + ก ก + e.Detail.OuterXml + ก Source: ก + e.Source);

}

catch (Exception e) {

log.Debug(e.Message + ก

ก + e.StackTrace);

}

return new Guid();

}

5. To make the activity just created be shown correctly you need to setup it’s flags according to MS CRM standards:

public void UpdateActivityCodes(Guid emailId) {

try {

OleDbCommand command = conn.CreateCommand();

command.CommandText = กUPDATE ActivityBase SET DirectionCode = (?), StateCode = (?), PriorityCode = (?) WHERE ActivityId = (?)ก;

command.Prepare();

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กDirectionCodeก, Microsoft.Crm.Platform.Types.EVENT_DIRECTION.ED_INCOMING));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กStateCodeก, Microsoft.Crm.Platform.Types.ACTIVITY_STATE.ACTS_CLOSED));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กPriorityCodeก, Microsoft.Crm.Platform.Types.PRIORITY_CODE.PC_MEDIUM));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กActivityIdก, emailId));

log.Debug(กPrepare to update activity code ก + emailId.ToString(กBก) + ก in ActivityBaseก);

command.ExecuteNonQuery();

}

catch(Exception e) {

log.Debug(e.Message + ก

ก + e.StackTrace);

}

}

public void UpdateActivityQueueCodes(Guid emailId, Guid queueId) {

try {

OleDbCommand command = conn.CreateCommand();

command.CommandText = กUPDATE QueueItemBase SET Priority = (?), State = (?), QueueId = (?) WHERE ObjectId = (?)ก;

command.Prepare();

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กPriorityก, Microsoft.Crm.Platform.Types.PRIORITY_CODE.PC_MEDIUM));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กStateก, Microsoft.Crm.Platform.Types.ACTIVITY_STATE.ACTS_CLOSED));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กQueueIdก, queueId));

command.Parameters.Add(new OleDbParameter(กObjectIdก, emailId));

log.Debug(กPrepare to update activity queue code ก + emailId.ToString(กBก) + ก in QueueItemBaseก);

command.ExecuteNonQuery();

}

catch(Exception e) {

log.Debug(e.Message + ก

ก + e.StackTrace);

}

}

Happy customizing, implementing and modifying! If you want us to do the job give us a call 18665280577! [email protected]

About The Author

Boris Makushkin is Lead Software Developer in Alba Spectrum Technologies – USA nationwide Microsoft CRM, Microsoft Great Plains customization company, based in Chicago, Boston, San Francisco, San Diego, Los Angeles, Houston, Dallas, Atlanta, Miami, Montreal, Toronto, Vancouver, Madrid, Moscow, Europe and internationally (www.albaspectrum.com), he is Microsoft CRM SDK, C#, VB.Net, SQL, Oracle, Unix developer. Boris can be reached: 18665280577 or [email protected].

[email protected]

This article was posted on October 25, 2004

by Boris Makushkin

Getting Started to Get Started

Getting Started to Get Started

by: Alan Huff

So you want to make it BIG online? You want to start an internet business. You register your domain, sign up with a hosting company, design or pay to have a website designed, go live online, and bingo, the money will soon start rolling in, right? Wrong (unless you have a ‘lucky’ horseshoe  ).
That’s basically how I started my own internet business but, I soon realized that much more is involved if you want to stand a chance at succeeding online. There are no ‘secret’ formulas to success. If you know of one which really works, please send it to me .
You must know how to do business online., and in order to that, you need to learn how. I know you don’t have time to learn, however, if really want to do it right, you’ll take the time.
Do yourself a favor. Before you start an internet business, read articles, ezines, ebooks, etc., written by those who have already made it. Write a marketing plan (sound familiar?), plan your website design and layout and content.
Bottom line; before you start an internet business, learn how to. You don’t have to do it the ‘hard’ way.
Focus on getting started to get started.
Alan

http://momony.com

About The Author

Alan Huff is the founder and president of MoMony.com.

You can contact Alan at [email protected]

This article was posted on July 03, 2004

by Alan Huff

7 Key Points to Consider When Choosing a Web Host

7 Key Points to Consider When Choosing a Web Host

by: Kyle Dusang

With literally thousands of web hosting companies in the industry all vieing for your business, carefully consider these key points to ensure you make the most well informed decision possible.
1. Server Space
First, think about how much space your site will take up on a server. Unless you are planning on running a software repository or an image gallery, the files that make up your website will probably only use between 1 and 5 megabytes of disk space. Many companies will offer several hundreds of megabytes of webspace for a very reasonable price in attempt to out perform their competitors, but ask yourself กDo I really need that much space?ก. Though itกs true that you should allow your site กroom to growก, don’t opt for what seems like a great deal on a massively sized account if youกll never use all of the space offered. Chances are youกll find an even better deal on an amount of space more suitable for your site size.
2. Data Transfer Allowance
This decision should be based on the same principal as above. Though you may be convinced that your site will be the next Amazon or Yahoo and receive a gazillion visitors a day, you really shouldn’t need an extremely high data transfer allowance unless, as stated above, you’re running a software download site or a large image gallery. Even heavily trafficked normal HTML sites usually only use a few gigabytes per month in bandwidth allowance. Don’t go overboard just because it seems like an awesome deal. You may also want to be wary of companies who offer กunlimitedก data transfer as there are usually some fineprint stipulations that make this claim not entirely true. Be sure to read their terms and conditions very carefully before opting for this type of account. A five or ten gigabyte bandwidth allowance is usually plenty enough for a small to medium sized business or personal site.
3. Technical Support
A very important point to consider when choosing a web host is the types of technical support offered by the company and how easy they are to contact when you need them. Ideally, a company should offer 24/7 tollfree telephone support and email. I have seen companies that do not even offer a telephone number on their website. You should look for a company that is very easily accessible in your time of need. Nothing is more frustrating than being in the middle of working on your site and needing an important piece of information to finish the job and not being able to contact your hosting company to find it out.
4. CGIBin Access
No matter what type of site you are planning on running, chances are you will eventually need to install some type of CGI script. Whether it be a mailing list management script, contact form processor, or maybe even a fancy credit card processing script, your hosting account will need to allow you to install and run them. This requires access to a special folder on your server called กCGIBinก. Some hosting accounts will only allow you to use กpreinstalledก scripts as a security measure. These are scripts that the owners of the company have installed and configured so that they know that they will work properly and not adversely affect their serverกs performance. That may be all you need, but if you have the knowledge, itกs always nice to have the ability to install your own scripts and configure them to suit your individual needs. You should also be sure that the account you choose supports the language in which your scripts are written, such as PHP, Perl, etc.
5. UpTime Guarantee
Another very important issue in determining the value of a hosting company is how often and for how long their servers กgo downก. No matter how good a deal you get on server space or bandwidht allowance, or how wonderfully the companyกs tech support takes care of you, your site can’t receive visitors or produce revenue if the machine on which it is hosted is not up and running. Naturally you want a company who can guarantee the highest uptime percentage possible. Servers are taken down briefly from time to time for maintenance or upgrading, so no company can ensure 100% uptime, but you want your site to be hosted on dependable, well managed machines that are not constantly having problems which require them to be down for long periods of time.
6. Email Accounts
Again, like data transfer allowance and server space, some companies will offer you loads more email accounts than you will ever use. Some offer hundreds or even unlimited email accounts as a selling point. This is an important factor if you are Bill Gates and have thousands of employees, each who need their own email box, but not such a big deal if you’re just one person or a small company. You should be okay with 10 or 15.
7. Reputation
This is probably the most important factor to consider when choosing a web host. Do your homework. Pay attention to any negative feedback you may hear or read about a particular hosting company. There are several sites arount the Web that feature discussion forums that allow people to discuss and critique various hosting companies. Ask specific questions about any company you might be interested in using to see if anyone else has had any negative experiences with them. As a beginning webmaster, I had initially contracted the services of a particular web hosting company to host my first site, who promised very good, dependable service for a very cheap price. Then one day, for no apparent reason, decided to delete my entire site without warning or explanation. Only then did I visit some hosting forums and find that many others had similar negative experiences with that company. Don’t make the same mistake I did, find out for sure from the start that your hosting company is not going to let you down.

About The Author

Author: Kyle Dusang

Webmaster of http://www.verybesthosting.com

Looking for a web host? Compare plans, features, and pricing from several of the Webกs most reputable hosting companies all in one place at eryBestHosting.com.

[email protected]

This article was posted on July 28, 2004

by Kyle Dusang

How To Find Good Keywords

How To Find Good Keywords

by: Trenton Moss

Good keywords are frequently searched for (high demand) but not being targeted by many other websites (low competition). There are a number of tools out there that can help you find them.

Wordtracker

The best tool out there, Wordtracker is one of the most essential SEO tools. To use Wordtracker:

Go to the Wordtracker website (http://www.wordtracker.com)and pay $7 for 24 hours’ access

Enter a keyword phrase you’re thinking about targeting

Wordtracker will suggest hundreds of related phrases click on the ones you like

Once youกve clicked on all the phrases you like, run them through the program

Wordtracker will compile a score for each phrase, based on the number of users searching for it and the number of websites targeting it

The higher the score, the better the keyword phrase!

Wordtracker also offers a free service which works in the same way but only uses results generated from MSN.

Overture

Also useful, Overtureกs search term suggestion tool (http://inventory.overture.com/d/searchinventory/suggestion/), is free and much quicker to use than Wordtracker. It works in much the same way as Wordtracker but doesn’t tell you how many websites are targeting each keyword phrase.

Google

Google AdWords Keyword Suggestions (https://adwords.google.com/select/KeywordSandbox) tell you which keyword phrases are being targeted by other websites.

Guidebeam

Guidebeam (http://www.guidebeam.com) is an interesting resource. Type in a phrase and it will suggest a large number of related searches. The numbers provided for each phrase are Guidebeamกs estimation of how relevant that phrase is.

About The Author

This article was written by Trenton Moss. Heกs crazy about web usability and accessibility so crazy that he went and started his own web usability and accessibility consultancy (Webcredible http://www.webcredible.co.uk) to help make the Internet a better place for everyone.

This article was posted on September 01, 2004

by Trenton Moss